การศึกษาของเด็กไทย
การศึกษาของเด็กไทยเริ่มต้นจากสถาบัน “ครอบครัว” คือ “บ้าน” ถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกของเด็ก เป็นที่ที่เด็กได้
รับความรักและความรู้ตั้งแต่ยังแบเบาะ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ปู่ย่าตายายเปรียบเสมือน “ครู” คนแรก ที่เป็นผู้เลี้ยงดู
อบรมสั่งสอน หุงหาอาหาร ปกป้องคุ้มภัย และพยาบาลยามเจ็บป่วย หรือพาไปหาหมอ
เมื่อเด็กเล็กเดินได้ พูดจาพอรู้เรื่อง อายุครบ ๓ ขวบ ก็ถึงเกณฑ์เข้ารับ “การศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่ถือเป็นหน้าที่ของพ่อแม่
ผู้ปกครองที่จะพาเด็กเข้าเรียน “ชั้นอนุบาล” การเรียนอนุบาลหรือเตรียมอนุบาลเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กเล็กก่อนเรียนชั้นประถมศึกษา เด็กจะได้รับการฝึกทักษะพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะทักษะการใช้มือ ความมีระเบียบวินัย
การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การพูดจาไพเราะ การไหว้ การกล่าวคำสวัสดี ขอโทษ และขอบคุณ ฝึกรับประทานอาหารเอง รู้จัก
สุขอนามัยที่ดี ฝึกทักษะมือทำงานศิลปะ เช่น ระบายสี วาดรูป ได้ออกกำลังกาย ร้องรำทำเพลง ไปจนถึงฝึกเขียนอักษร
และพยัญชนะไทย และตัวเลข การเรียนชั้นอนุบาลนี้ใช้เวลา ๓ ปี
ต่อจากนั้นเด็กจะเข้าเรียน “ประถมศึกษา” โดยใช้เวลาเรียน ๖ ปี เพื่อศึกษาหาความรู้หมวดวิชาต่างๆ ซึ่งเป็นหลักสูตร
มาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สปช.) วิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัย (สสน.)
การงานพื้นฐานอาชีพ (กพอ.) วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย เด็กๆ จะได้ความรู้รอบตัว เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและแสดงออก เห็นวี่แววความถนัดพิเศษในบางวิชาของเด็ก
เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ แล้วเด็กๆ จะเข้าเรียนต่อในระดับ “มัธยมศึกษา” ต่อเนื่องอีก ๖ ปี โดย ๓ ปีแรกเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เรียนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา พระพุทธศาสนา สุขศึกษา พลศึกษา และศิลปศึกษา แล้วเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอีก ๓ ปีโดยใน ๓ ปีหลังนี้เด็กจะเลือกเรียนสายใดสายหนึ่งใน ๓ สายตามความสนใจและความถนัดของตน คือ สายวิทย์ สายศิลป์-คำนวณ และสายศิลป์-ภาษา เด็กไทยจำนวนมากอาจไม่สามารถหรือไม่มีโอกาสได้เรียนต่อจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เพราะความยากจน พ่อแม่ไม่สนับสนุน ต้องช่วยเหลือทางบ้านทำมาหากิน เลี้ยงน้อง บ้านไกล หรือมีอุปสรรคบางประการ สรุปว่าเด็กแต่ละคนจะใช้เวลา ๑๒ ปี
เรียนหนังสือให้จบการศึกษาภาคบังคับตามที่ภาครัฐกำหนด
อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนยังมีทางเลือกในระหว่างที่เรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ถ้าหากต้องการเลือกศึกษาต่อสาย
อาชีพ เพราะต้องการออกไปประกอบอาชีพสายพาณิชย์ หรือสายช่างกลด้วยมีความถนัดและรักในงานอาชีพ ก็สามารถ
เลือกเรียนต่อ “อาชีวศึกษา” ได้ โดยสายอาชีวศึกษาได้จัดเตรียมหลักสูตรเพื่อการศึกษาอีก ๓ ปีต่อจากมัธยมศึกษาปีที่
๓ จะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหากศึกษาในสายอาชีวศึกษาต่อเป็นเวลา ๖ ปี จะได้รับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่าอนุปริญญา
ส่วนเด็กที่ตั้งเป้าหมายศึกษาต่อในระดับ “อุดมศึกษา” หรือ “มหาวิทยาลัย” ซึ่งจะได้รับปริญญาตรีเมื่อจบการศึกษา
ต้องจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และผ่านการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยปัจจุบันการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
มีการเก็บผลคะแนนเฉลี่ยสะสม ๓ ปีจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ มารวมกับผลการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยด้วย
ดังนั้นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะส่งผลถึงอนาคตของเด็กและเยาวชนคือการเรียนชั้นมัธยมศึกษา ผู้ปกครองและครู
จึงมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่เด็ก โดยพิจารณาความสามารถของเด็ก เพื่อให้เด็กตัดสินใจเลือกทางเดินสู่อนาคตได้อย่าง
สมเหตุผลและถูกทิศทาง การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมีทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยเปิด ซึ่ง
ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยแบ่งเป็นคณะเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนรักและฝันอยากจะเป็นในอนาคต เป้า
หมายการเป็นบัณฑิตคือ การนำความรู้คู่คุณธรรมไปประกอบสัมมาอาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ วิศวกร
สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ นักสื่อสารมวลชน ครู/อาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินการธนาคาร นักธุรกิจ เป็นต้น
เพื่อช่วยเหลือตัวเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติสืบไป
เนื่องจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโลกโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ
ไม่สิ้นสุด ทำให้การสภาพการแข่งขันสูงด้านเศรษฐกิจการค้าทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผู้คนขวนขวายเรียนรู้
มากขึ้น เป้าหมายการศึกษาของเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่และที่มีกำลังความสามารถจึงมีความต้องการศึกษาสูงขึ้นใน
ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยมีทางเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อกับมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน ในประเทศและ
ต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญและมีบริการด้านการศึกษาในสาขาวิชานั้นๆ
นอกเหนือจากระบบการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในระบบนี้ แต่ก็ยังมีเด็ก
และเยาวชนด้อยโอกาสอีกจำนวนไม่น้อยที่แม้จะไม่ได้อยู่ในระบบนี้ แต่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนก็
ได้ร่วมมือดูแลให้เด็กเหล่านี้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง เช่น กลุ่มเด็กพิการ ตาบอด หูหนวก พิการทางสมอง พิการ
ซ้ำซ้อน เด็กออทิสติก การศึกษาพิเศษเหล่านี้นับรวมถึง ระบบการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษา
ทางไกลผ่านดาวเทียม การจัดให้มีห้องสมุดชุมชนเพื่อการเรียนรู้ด้วตนเอง รวมถึงการเรียนรู้ในชุมชนด้วยภูมิปัญญา
ท้องถิ่นด้วย
เหนือสิ่งอื่นใด “การศึกษา” น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนเป็น “คนที่มีคุณภาพ” เพราะการศึกษาเป็นขบวนการทำ
ให้คนมีความรู้ และมีคุณสมบัติต่างๆ ที่จะช่วยให้คนคนนั้นอยู่รอดในโลกได้ เป็นประโยชน์กับตนเอง กับครอบครัว
ประเทศชาติ และสังคมโลกโดยส่วนรวม
|
ที่มา:http://sinothai.youth.cn/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น